fbpx

Study advices

Preview วิชาฟิสิกส์ ม.ปลาย (ม.ต้นก็อ่านได้ แนะนำครับ)

หลังจากที่ไม่ค่อยได้ขีดเขียนอะไรมานาน วันนี้ ขอกลับมาขีดเขียนอีกครั้งในหัวข้อเบาๆ เป็นแนวทางให้กับนักเรียนและผู้ปกครองนะครับ ว่า “วิชาฟิสิกส์” นี่มันคืออะไร ครอบคลุมเรื่องอะไร และเราจะเรียนไปเพื่ออะไร…

“Welcome to Physics World”

(post นี้เขียนในปี พ.ศ. 2565 ไว้มาดูกันว่าอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปซักแค่ไหน)

วิชาฟิสิกส์ เกิดขึ้นมาจาก “ความต้องการ” หาคำตอบให้กับคำถามต่างๆ ที่เกิดขึ้น จากการสังเกตเหตุการณ์หรือปรากฎการณ์ต่างๆ รอบตัวเรา

คำถามต่างๆเหล่านี้อาจใกล้ตัวเรามาก เช่น คำถามจากการสังเกตต้นมะม่วงหน้าบ้าน ทำไมมะม่วงสุกจึงตกลงสู่พื้น ไม่ลอยขึ้นฟ้า ไปจนถึงคำถามที่ไกลตัวออกไปมากๆ อย่างเช่น ดวงดาวในยามราตรีที่มีมากมาย มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น โลกแห่งวิชาฟิสิกส์ จึงเป็นโลกที่น่าสนุกสนานสำหรับคนที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย ต้องการรู้ถึงคำตอบของปริศนาที่น่าท้าทายรอบตัว

ทีนี้ลองกลับไปดูชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ในห้องเรียนประเทศไทยกันนะครับ

(เอาแค่ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกันเลยนะ)

เชื่อมั้ยครับว่า… เมื่อเข้าไปถามนักเรียนแต่ละคน กว่าร้อยละ 70 ของนักเรียนทั้งหมด ไม่ชอบ/ไม่อยาก/ไม่โปรด/ไม่เลิฟ/ไม่ไลค์ วิชาฟิสิกส์เอาเสียเลย

ทั้งๆ ที่ธรรมชาติของมนุษย์ เราต่างก็มีความเจ้าสงสัยอยู่ในตัวกันทั้งนั้น… แต่ทำไมน้อยคนนัก ที่จะกระตือรือล้นไปกับการเรียนวิชาฟิสิกส์ ??

เมื่อเราลองมาดูตัว “เนื้อหา” หรือ “รูปแบบการเรียนการสอน” ที่นักเรียนต้องเจอ — โดยนักเรียนหลายคนใช้คำว่าบังคับ/ยัดเยียด/จำใจ/และอีกหลายคำที่เป็นคำศัพท์ด้านลบทั้งนั้น — ก็เป็นหน้าที่ของผู้จัดหลักสูตรการเรียนการสอนนะครับ ว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนรู้สึกดึที่ได้เรียนวิชาฟิสิกส์ ซึ่งถ้ามีโอกาสคุณครูพี่ฟาร์มมี่ก็คงจะวิพากษ์ให้ได้อ่านกันในวันหลังนะครับ

ตามหัวข้อคือ อยากจะแนะนำน้องๆ (โดยเฉพาะเด็กมัธยม) ให้รู้ว่าตลอดชีวิตการเป็นนักเรียน ม. ปลายนั้น เราต้องเจออะไรในวิชาฟิสิกส์ พยายามจะเขียนให้รู้สึกอยากเรียนนะครับ

ถ้าฟิสิกส์คือโลกหนึ่งใบ (ให้เธอคนเดียว…) โลกใบนี้ ก็คงประกอบด้วยห้าทวีปละกัน ได้แก่

  1. กลศาสตร์
  2. คลื่น
  3. ไฟฟ้าและแม่เหล็ก
  4. สสารและความร้อน
  5. มอเดิร์นฟิสิกส์

ได้ยินชื่อกันแล้วก็อย่างเพิ่ง “เหวอ” นะ จริงๆพวกนี้มันไม่ได้มีอะไรน่าหนักใจเลย เป็นของ หรือเหตุการณ์ หรือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเราทั้งนั้น ลองมาดูกันนะ

1. กลศาสตร์ 🚴‍♀️ 🤹‍♂️

เป็นอาณาจักรแรก และใหญ่ที่สุด (ใช้เวลาเรียนครึ่งหนึ่งของชีวิตนักเรียน ม.ปลายกันเลย) กลศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ แรงและพลังงาน

เริ่มต้นเลย พอขึ้น ม. 4 น้องๆจะได้เรียน “การเคลื่อนที่ในแนวตรง” ลองคิดถึงการเดินทางโดยการขับรถ เอาเป็นจากกรุงเทพไปเชียงใหม่ก็ได้ ถ้าเรารู้ “ระยะทาง” ที่ต้องขับและสามารถประมาณ “ความเร็ว” ที่เราจะขับได้ เราก็พอที่จะคำนวณหา “เวลา” ที่ต้องใช้ในการเดินทาง เพื่อจะได้นัดเจอกับเพื่อนๆที่เชียงใหม่ (แบบไม่ให้เพื่อนรอเก้อ)

บทต่อมา เราก็คงจะมีคำถามว่า เอ๊ะ แล้วอะไรทำให้เกิดการเคลื่อนที่ ซึ่งคิดดีๆ ก็ตอบได้ไม่ยากเลย ว่าคือ “แรง” นั่นเอง บทที่สองเราจะได้เรียนรู้ว่า แรงทำให้วัตถุเคลื่อนที่ได้อย่างไร รวมถึงทำนายได้ว่า ถ้ามีแรงเท่านี้มากระทำกับวัตถุ มันจะทำให้วัตถุเคลื่อนที่มีความเร็วเป็นไปอย่างไร เราจะมีอำนาจที่จะ “ทำนาย” ได้อย่างแม่นยำ

เมื่อแรงทำให้เกิดการเคลื่อนที่ได้ แรงก็ทำให้เกิด “การไม่เคลื่อนที่” ได้เหมือนกัน ถ้านำแรงมากระทำจนอยู่ใน “สภาพสมดุล” .. นอกจากจะสมดุลแบบไม่เคลื่อนที่แล้ว ยังจะได้เรียนสมดุลแบบที่ทำให้วัตถุ “ไม่หมุน” อีกด้วย ลองคิดถึงตอนเด็กๆ ที่เล่นม้ากระดก ปริมาณที่ทำให้น้องๆกระดกขึ้นที ลงที ก็คือโมเมนต์ ถ้าทำให้มันสมดุลแล้วละก็ คานที่น้องนั่งอยู่ ก็จะไม่กระดก จะบาลานซ์อยู่อย่างนั้นแหละ ลองดูได้

ถัดมาจะได้เรียนเรื่องของ “งานและพลังงาน” นี่เป็นสิ่งที่ค้ำจุนมนุษยชาติอยู่ก็ว่าได้ การผันพลังงานศักย์จากน้ำในเขื่อน มาปั่นกระแสไฟฟ้า การที่เครื่องยนต์สร้างพลังงานจลน์ให้มอเตอร์จนทำให้รถวิ่งได้ และอีกหลายอย่าง ต้องขอบคุณพลังงานเลยนะเน๊๊ยะ

เคยเห็นรถชนมั๊ย โครม โครม โครม ปริมาณที่คอยอธิบายสภาพการเคลื่อนที่ ไปจนถึงการชน ก็คือ “โมเมนตัม” ความเร็วในการเข้าชน เวลาในการเข้าชน จะทำให้น้องๆ สามารถทำนายได้ว่า การชนในครั้งนั้น จะตายหรือจะรอด!

เคยเห็นการเคลื่อนที่แบบอื่นๆกันไหม นอกจากการเคลื่อนที่แนวตรง น้ำพุเด็กยืนฉี่? เป็นการเคลื่อนที่แบบ “โพรเจกไทล์” และการโคจรรอบโลกของดาวเทียม ก็เป็นตัวอย่างของ “การเคลื่อนที่แบบวงกลม” แล้วยังมีนาฬิกาติ๊กตอกโบราณที่ใช้ลูกตุ้มแกว่งไปแกว่งมา ก็เป็นตัวอย่าง “การเคลื่อนที่เป็นฮาร์มอนิกอย่างง่าย” น้องๆจะแยกแยะได้ว่าการเคลื่อนที่ที่เจอในชีวิตจริงเป็นแบบไหน

2. คลื่น 🏄‍♂️🎷📡

เนื้อหากลุ่มนี้ ใช้ความเข้าใจ มีการคำนวณง่ายๆ แค่คูณ หาร บวก ลบ ถ้าใครทำไม่ได้ เสียดายแย่ เวลาทำโจทย์ก็คล้ายๆกับฝึกปัญหาเชาวน์เลย

บทแรก จะสร้างพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับ “ปรากฏการณ์คลื่น” อย่างคร่าวๆ ให้รู้จักว่าคลื่นคืออะไร รูปร่างเป็นอย่างไร เคลื่อนที่ยังไง มีสมบัติอะไรบ้าง (สะท้อน หักเห เลี้ยวเบน แทรกสอด) บทนี้ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางค์เป็นก็ไม่ต้องใช้สูตรก็ได้

ถัดไป จะเป็นบทที่เนื้อหาเยอะมาก นั่นคือเรื่อง “แสง”​ เนื้อหาเยอะมากจนในหลักสูตรใหม่ เขาแบ่งบทนี้ออกเป็นสองบทย่อย นั่นคือ “แสงเชิงคลื่น” กับ “แสงเชิงรังสี” 

แสงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ มนุษย์เราก็มองเห็นได้เพราะมีแสง น้องๆ จะได้เรียนรู้กลไกการมองเห็น การเกิดภาพ การใช้งานทัศนอุปกรณ์ต่างๆ (พวกกระจกกับเลนส์) เนื้อหาหนักๆ น่าจะเป็นการศึกษาสมบัติของแสง (สะท้อน หักเห เลี้ยวเบน แทรกสอด อีกแล้วครับท่าน) เห็นมะว่าเนื้อหาค่อนข้างจะมีจุดซ้ำกันเยอะกับเรื่องคลื่น ตั้งใจเรียนเสียหน่อย ทำโจทย์ได้สบายเลย

บทส่งท้ายของอาณาจักรคลื่นก็คือเรื่อง “เสียง” เป็นอะไรที่เราเจออยู่ทุกวัน ก็น่าจะรู้เกี่ยวกับมันหน่อย ว่าเกิดจากอะไร ส่งผ่านยังไง มีสมบัติอะไรบ้าง (ก็สะท้อน หักเห เลี้ยวเบน แทรกสอด คุ้นๆ มะ ซ้ำกับข้างบนไง) ใครจะไปประกวดเดอะวอยซ์หรือกอตทาเลนต์ ก็ตั้งใจเรียนบทนี้ให้ดีนะ 555

3. ไฟฟ้า 🔋💡

ถ้าไม่มีศาสตร์ด้านนี้ เราคงไม่มีอุปกรณ์สร้างความสะดวกสบายต่างๆใช้งานกันแน่ๆ ไหนๆมันมีประโยชน์กับเราซะขนาดนี้ ไม่เรียนรู้เกี่ยวกับมันเสียหน่อย ก็คงไม่ดีมั๊ง

บทแรก จะสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับไฟฟ้า คือบท  “ไฟฟ้าสถิต” เวลาเราเอาไม้บรรทัด ถูกับผมเรา แล้วพบว่ามันพอที่จะดูดกระดาษติดได้ นั่นแหละ ไฟฟ้าสถิต นอกจากนี้เราก็จะได้เรียนเกี่ยวกับแรงไฟฟ้า สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า และตัวเก็บประจุ อุปกรณ์ตัวนี้สำคัญกับเรามาก ไม่งั้นคงไม่มีคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายให้ใช้กันในทุกวันนี้หรอก

หลังจากเรียนบทแรกไป ก็จะต่อด้วย “ไฟฟ้ากระแสตรง” ตอนม.3 คงพอจำได้ เราได้เรียนเกี่ยวกับกฎของโอห์ม มีการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า (แบบเบาๆ) แต่พอม.ปลาย ก็คงต้องอัพเกรดความยากขึ้นหน่อย แต่ถ้ามีเทคนิคดีก็ผ่านไปได้ไม่ยาก แล้วก็จะได้เรียนเกี่ยวกับอุปกรณ์วัดทางไฟฟ้า การคิดค่าไฟฟ้า สารพัดอีกมากมาย

จากนั้นจะไปแวะเรียนเนื้อหาเกี่ยวกับ “แม่เหล็กและไฟฟ้า” ทั้งไฟฟ้าและแม่เหล็กนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด น้องๆคงเคยใช้แม่เหล็ก มาดูดเหล็กหรือโลหะเล่นๆกันใช่ไหมครับ นี่แหละ เราจะได้เจาะลึกมากขึ้นเกี่ยวกับแม่เหล็ก จะรู้ว่าทำไมมันแสดงอำนาจไปดูดคนนั้นคนนี้ได้

มีแถมมานิดนึงคือน้องๆ จะได้เรียน “ไฟฟ้ากระแสสลับ” ด้วย อันนี้อาจดูยากหน่อย แต่ข่าวดีคือ หลักสูตรใหม่ตัดเนื้อหาบทนี้ออกซะเหี้ยนเลย แล้วเอาไปรวมอยู่เป็นเนื้อหาเรื่องเล็กๆ ในบทก่อนหน้า (บทแม่เหล็ก) เป็นไฟฟ้าที่ใช้ส่งไปมาจากโรงผลิตไฟฟ้าเข้าสู่บ้านเรือน ไฟฟ้าของจริงที่ใช้ในชีวิตประจำวันเยอะมาก ต้องรู้เกี่ยวกับมันซักหน่อยแล้ว ^^

4. สสารและความร้อน 🧨🛫

เนื้อหากลุ่มนี้ สูตรเยอะ เวลาเรียนต้องเน้นจำให้เป็นระบบ ไม่งั้นแย่แน่

บทแรก จะศึกษาเกี่ยวกับสมบัติเชิงกลของของแข็งและของไหล โดยเนื้อหาส่วนแรกจะพาไปศึกษา “ของแข็ง” ในแง่ของสภาพยืดหยุ่น เผื่ออีกหน่อยต้องเลือกวัสดุมาก่อสร้าง จะได้ดูออกว่าอันไหนอ่อนไป แข็งไป ยืดง่าย ยืดยาก ทนแรงรับแรงได้ไหวไหม

เนื้อหาส่วนถัดไปของบทนี้ จะเอา ของเหลว และ แก๊ส มารวมกัน เรียกว่า “ของไหล” เราจะศึกษาพฤติกรรมของของไหลในแง่มุมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความดัน แรงดัน เครื่องอัดไฮดรอลิก (ช่วยให้เรายกของที่หนักกว่าเราหลายสิบหลายพันเท่าได้ เออ ทำไมหว่าาาา) และเราจะตอบคำถามได้ว่า ทำไมเครื่องบินจึงบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ (สงสัยไหม)

ปิดท้ายด้วย “แก๊สและความร้อน” ที่ต้องเรียนความร้อนเพราะความร้อน เป็นสิ่งที่ทำให้วัถตุเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะได้ ความรู้ด้านความร้อนนี้เองที่นำไปพัฒนาต่อยอดเป็นเครื่องยนต์ เป็นตู้เย็น เป็นเครื่องจักรกลต่างๆ  เราจะได้เรียนการทำงานของอุปกรณ์เหล่านี้ ว่ามันทำให้ร้อน ทำให้เย็น ได้ยังไงกัน

5. มอเดิร์นฟิสิกส์ ⚛️ 🧲

เป็นศาสตร์น้องใหม่ (จริงๆก็ตั้งเค้ามานานแล้ว แต่มามีพัฒนาการก้าวกระโดดไม่กี่สิบปีให้หลังนี้) จะมีเนื้อหาคาบเกี่ยวกับเคมีด้วย ตั้งใจเรียนดีๆ จะได้เคลียร์วิชาเคมีไปในตัว

บทแรกจะเรียนเกี่ยวกับ “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” จริงๆเป็นคลื่นชนิดหนึ่ง (น่าจะถูกจับไปอยู่ในเรื่องคลื่น) แต่เนื่องจากต้องใช้สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กในการศึกษา จึงถูกนำมาให้น้องๆเรียน หลังจากเรียนไฟฟ้าครบแล้ว

บทถัดไปคือ “ฟิสิกส์อะตอม” ศึกษาเกี่ยวกับอะตอม (เอ๊ะ ก็ซ้ำกับบทโครงสร้างอะตอมในวิชาเคมีสิ) จะว่าซ้ำก็ซ้ำนะ แต่เราเรียนลึกกว่า และมีการคำนวณหาปริมาณต่างๆทางไฟฟ้าและแม่เหล็กประกอบกันไปด้วย รวมถึงเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ๆ ที่เพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ จำไว้ว่า “ความเข้าใจในสิ่งเล็กน้อย (อะตอม) จะนำไปสู่ความเข้าใจในสิ่งที่ยิ่งใหญ่” 

พอแหวกดงอะตอมเข้ามาก็จะเจอกับใจกลางอะตอมที่เรียกว่า นิวเคลียส บทปิดท้ายของฟิสิกส์ ม.ปลาย เราจะเรียนเกี่ยวกับมันนี่แหละ วิชา “ฟิสิกส์นิวเคลียร์” ใครไม่สนใจก็ไม่อินเทรนด์แล้ว เพราะว่าแหล่งพลังงานบนโลกเรา เริ่มมีการนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้กันหลายประเทศแล้ว เราจะได้เรียนว่าพลังงานนิวเคลียร์คืออะไร แล้วใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง อันตรายมากน้อยขนาดไหน 

แถมให้กับเรื่องสุดท้ายของท้ายสุด “ฟิสิกส์อนุภาค” เนื้อหาที่เพิ่งบรรจุลงหลักสูตรหมาดๆ (เมืองนอกเขาสอนกันมาหลายปีแล้ว ในที่สุดก็ถึงคิวประเทศไทย) เราจะเข้าไปศึกษาอนุภาคที่เป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดที่ประกอบขึ้นมาเป็นอนุภาคต่างๆ อีกทีนึง เช่น พอเราแหวกนิวเคลียสดู เราจะพบกับโปรตอนและนิวตรอน แล้วถ้าแหวกโปรตอนกับนิวตรอนลงไปอีกล่ะ ! โอ้แม่เจ้า ยังมีอนุภาคที่เล็กลงไปกว่านั้นอีกเหรอ ?? .. ใช่.. นั่นเราจะเจอกับ ควาร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของอนุภาคมูลฐานของจักรวาลนี้ เจ๋งสุดๆ ไปเลยใช่มั๊ยล่ะ


นี่ก็เป็นน้ำจิ้มคร่าวๆ เหมือนเป็นแผนที่การเดินทางคร่าวๆ ที่บอกว่าตลอดสามปีเราจะเรียนอะไรบ้างในวิชาฟิสิกส์นะครับ อ่านๆไปก็อย่าเพิ่งตกใจนะ เรามีเวลาสามปี ที่จะค่อยๆเรียนเนื้อหาเหล่านี้ เทียบกับ เคมี ชีววิทยา ดาราศาสตร์ ธรณีวิทยา ที่ต้องเรียนแล้ว ของฟิสิกส์นี่จิ๊บๆที่สุดเลย

คราวหน้าพี่ฟาร์มจะบอกเคล็ดลับว่า เราจะเรียนทั้งหมดนี้ให้ “ได้เรื่อง” กันได้อย่างไร ต้องติดตามนะคร้าาาาบ ^_^

Preview วิชาฟิสิกส์ ม.ปลาย (ม.ต้นก็อ่านได้ แนะนำครับ) Read More »

ถ้าอยากเรียนให้ได้ผล จงตั้งเป้าหมายเอาชนะตนเอง

✏️อยากเรียนให้ได้ผล? ไม่อยากเป็นคน #หมดไฟ แนะนำทีม #Dek66 อ่าน
.
พี่มีเทคนิคหนึ่ง คือการตั้งคำถาม📌 แต่ ….. วิธีการตอบ “ต่าง” การตอบคลีเช่เดิมๆ มาดูตัวอย่าง
.
“สิ่งที่เรียนอยู่ตอนนี้ เรียนไปเพื่ออะไร และมีประโยชน์ยังไง?”
.
– เรียนไปเป็นหมอค่ะ การงานมั่นคง เงินดี ดูแลครอบครัวได้
– ก็เรียนไปเข้าวิศวะครับ มีองค์กรใหญ่รองรับอยู่
.
คำตอบไม่มีผิดถูก แต่ส่วนมากแล้ว ถ้าตอบแค่นี้ น้องจะวนลูปอยู่กับความพยายาม….
ที่ฮึดขึ้นมากี่ทีๆ ก็ “แรงน้อยมาก”
เพราะเป้าหมายของน้องมัน เล็กไปสักนิด
.
⚡️ ถ้าอยากเรียนให้ได้ผล
ขอน้อง จง #ตั้งเป้าหมายเอาชนะตนเอง
.
#เป้าหมายที่เอาชนะตนเอง หมายถึง เป้าหมายที่ “ตอบโจทย์” เรื่องที่ยิ่งใหญ่ เกินขอบเขตความสะดวกสบายหรือคุณภาพชีวิตของเราคนเดียว
.
ถ้าพูดให้สวยคือ ทำเพื่อโลก 🌎
ถ้าพูดให้จริงคือ อะไรก็ได้ ที่ชาเล้นจ์ตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
(ส่วนใหญ่สุดท้ายมันจะเป็นเรื่องการทำเพื่อผู้อื่นนะ)
.
#ลองนึกดูว่าหากคำตอบของเราเป็น
– เราอยากเปลี่ยนแปลงกรุงเทพอ่ะ.. อืม เราน่าจะต้องเก่งเรื่องผังเมืองให้มากๆ นะ งั้นเริ่มต้นด้วยสถาปัตย์เมืองดีกว่า เราต้องเข้าคณะสถาปัตย์ให้ได้!
– โรคเบาหวานเป็นโรคที่ทำลายคนไทยแบบเรื้อรังสุดๆ เราอยากเป็นคนหนึ่งที่ “บรรเทา” ทุกข์ภัยโรคนี้ ไม่แน่ใจว่าต้องยังไง แต่เข้าคณะทางแพทย์ไว้ก่อนดีกว่า
.
แค่คิดแบบนี้ #ระดับความมุ่งตั้งใจเราจะพีคขึ้นได้อีกจริงๆ💥
.
มีงานวิจัยที่ ม. Texus ใช้เวลาราว 50 นาที
ทำกิจกรรมกับนักเรียน ม.ปลาย ให้นักเรียนลองตั้งเป้าหมายที่ใหญ่กว่า “ตัว” ของตัวเองดู 🧑🏻‍🔬👩🏻‍🏭
.
เมื่อติดตามนักเรียนเหล่านี้ ก็พบว่า ในชีวิตนักเรียนเหมือนๆ กัน เด็กกลุ่มนี้ “สรรหา” เวลา และ “สมาธิ” มาโฟกัสที่การเรียนได้มากกว่าเพื่อนในห้อง
.
ทำไม? ⚡️⚡️ ก็เค้าสร้าง “ความหมายที่ยิ่งใหญ่” ให้กับ “การเรียนที่น่าเบื่อ” สำเร็จน่ะซี
.
การเรียนมันไม่ได้ “ว้าว” “มหัศจรรรรย์” รึ “สนุก” ตลอด
การเรียนมันน่าเบื่อ มันตรากตรำ
ต้องอึดมากกว่าจะ “ชนะ” ในสนามที่เราต้องการ
.
แต่ถ้าเราตั้งเป้าเอาชนะตัวเองได้
“พี่รับรอง”
พลังใจในการเรียนน้องมาเต็ม🌈
.
#ขอเติมกำลังในให้น้องๆในวันเรียลๆที่ทวนหนังสือแล้วเหน่ย
ด้วยรักส์จากพี่
ป.ล. ขอฝากคอร์สฟิสิกส์อารมณ์ดี
https://www.physicsfarm.org/
#dek66#dek67#dek68#tcas66#ฟิสิกส์ฟาร์ม#physicsfarm

ถ้าอยากเรียนให้ได้ผล จงตั้งเป้าหมายเอาชนะตนเอง Read More »

ตอบคำถามเด็กซิ่ว ฉบับที่ 1 ความกังวลเป็นเหตุ

น้อง: ผมกังวลทุกครั้ง เวลาคิดถึงการซิ่ว ผมไม่แน่ใจว่าจะทำมันได้รึเปล่า หรือว่าตัวเองจะล้มเลิกก่อนจะถึงตรงนั้นมั้ย ไม่มั่นใจเลยครับ

#Dek65 จะซิ่วไป Tcas66

คำตอบของพี่: 

จากคำถาม พี่จับได้ว่า “ความกังวล” คืออุปสรรคสำคัญของการจะซิ่ว
ดังนั้นเรามาดูกัน ว่าความกังวลคืออะไร

ความกังวล (ภาษาอังกฤษเรียกว่า anxiety)  คือ สภาวะทางอารณ์ ที่บุคคลจะรู้สึกว่า หวั่นใจ หวาดกลัว อึดอัดไม่สบายใจ เพราะคิดว่าจะมีสิ่งร้ายหรือเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตน *เป็นการคิดไปล่วงหน้าทางลบ*

สิ่งที่แย่ที่สุดของความกังวลคือ มันจะ “ฉุด” ให้เรา — ไม่เคยได้เริ่มทำ

คล้ายๆ กับความกังวลคือ การคูณด้วยเลขศูนย์ (x0) หากเรามีเป้าหมายที่ต้องการอยู่ สมมติตีเป็นเลขสิบ (10) เจอการคูณศูนย์เข้าไป … ผลลัพธ์เหลือศูนย์ คือ …ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย… เกทมั้ย

เมื่อเข้าใจแล้ว ก็อยากให้ลองตั้งมั่นกับตัวเองว่า จะดีแค่ไหน หากเรา “เลิกกังวลได้” นะ

คำเตือน (x) อย่าเข้าใจผิด ว่าเราต้องเลิกรู้สึกกังวล

เปล่าเลย ความกังวลเล็กน้อยมีประโยชน์ คอยเตือนเราว่าสิ่งที่เราทำมันยาก ให้เราคอยระมัดระวังและอยู่กับความจริง แต่เราต้องรู้ตัวด้วยว่า หากปล่อยให้ความกังวลมากไป  ประโยชน์ที่ได้กลับมา ก็จะน้อย

การซิ่วหรือการตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เหมือนการเดินทาง การเดินรถ ดังนั้นตามหลักฟิสิกส์ เราต้องหาวิธี “ลดแรงเสียดทาน” เพื่อเพิ่มความเร็ว เพื่อให้ได้ไปต่อ

กับเรื่องความกังวลนี่ก็เหมือนกัน  ทุกคนสามารถ ลดแรงเสียดทานของกังวลได้ 

  • เริ่มจาก เลิกเกลี้ยกล่อมตัวเองด้วยความกังวล
  • เปิดจินตนาการว่า เราเองกำลังโน้มตัวไปข้างหน้า
  • ลองเริ่มอ่านหนังสือให้ได้สัก 10 นาทีหรือลองทำโจทย์แบบดูเฉลยไปด้วยก็ยังได้ สัก 2-3 ข้อ

สิ่งหนึ่งที่พี่เชื่อมั่นมากๆ คือ * เราจะได้ในสิ่งที่เราคิด *

หากเราคิดนำไปก่อนว่า เราจะไม่ไหวอะะะะ แบบนี้ ก็จะเป๋แต่เริ่มแล้ว ตรงข้าม หากเรามีกำลังใจ เราจะยังผลักไปข้างหน้าได้ “ไม่เร็วก็ช้า มันต้องถึง~!!” 

กังวลได้ แต่อย่าลืมแข็งใจลองสู้กับมัน แล้วโน้มตัวไปข้างหน้านะทุกคน

———

ส่วนที่ว่า “แล้วเราจะล้มเลิกง่ายๆ ไหม” ก็อยากแนะนำให้น้องๆ ลองหา WHY ของตัวเอง หรือเหตุผลที่เราจะต้องซิ่วให้สำเร็จ

ทำไมเราต้องซิ่วให้สำเร็จล่ะ?

เราอยากเข้าคณะนั้นๆ ทำไม อะไรรอเราอยู่ จะเกิดอะไรขึ้นหากเราทำได้บ้าง ลองใคร่ครวญดูนะครับ เป็นกำลังใจให้เสมอ

———

แล้วคอร์สไหนเหมาะกับเด็กซิ่ว?

  • ต้องการพื้นฐานใหม่ทั้งหมด เรียนรู้ที่มาที่ไป ค่อยๆ ปูทีละแบบฝึกหัด ลงคอร์ส Physics Slayer
  • ต้องการสรุปกระชับ จับคอนเซปท์ของแต่ละบท และตะลุยโจทย์ฟิสิกส์ตัวยากอย่างฟิสิกส์สามัญ ลงคอร์ส Refined

ปรึกษาเพิ่มเติมทักเพจนะ พี่แอดมินเค้าพร้อมให้คำแนะนำจ้ะ

ตอบคำถามเด็กซิ่ว ฉบับที่ 1 ความกังวลเป็นเหตุ Read More »

#แจกใบงาน สำหรับน้องๆ ที่ต้องการ “การลงมือทำ” เพื่อ “ไปสู่เป้าหมาย”

“การลงมือทำ” เพื่อ “ไปสู่เป้าหมาย” ดูจะเป็นเรื่องยาก… เมื่อเป้าหมายนั้นไม่ได้ถูกแสดงออกมาให้เราเห็นแบบชัดๆ 👀

ดังนั้น~! วิธีการต่อไปนี้ เป็นเทคนิคในรูปแบบง่ายๆ ที่จะนำเราไปสู่เป้าหมายระยะกลาง หรือระยะยาวได้ ไม่ว่าจะหลายสัปดาห์ หรือหลายปี

  • 👉ขั้นที่ 1 จินตนาการถึงสิ่งที่ต้องการ เมื่อเราทำงานหนักแล้ว ให้จินตนาการว่าจะมีเรื่องดีๆ แบบไหนเกิดขึ้นกับเราบ้าง ให้เขียนสิ่งนั้นลงไป
  • 👉ขั้นที่ 2 เขียนตัวเลือกในแง่บวก ให้เลือกข้อดีในข้อแรกมาหนึ่งอย่าง ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา นึกถึงมันอยู่ในใจ แล้วเลือกอันที่ทำให้รู้สึกดีมากที่สุด
  • 👉ขั้นที่ 3 เขียนอุปสรรคขัดขวาง จินตนาการถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างที่กำลังทำตามเป้าหมายอยู่
  • 👉ขั้นที่ 4 เขียนตัวเลือกในแง่ลบ ในบรรดาปัญหาที่เขียนไว้ ให้เลือกอันที่เลวร้ายที่สุดสำหรับตัวเรามา ให้นึกภาพอยู่ในใจ แล้วเลือกอันที่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง
  • 👉ขั้นที่ 5 ลงมือทำตามคำถาม ต่อไปให้เขียนที่ต้องทำทั้งหมดในรูปแบบคำถาม ว่า [ชื่อเรา] จะทำ [สิ่งที่ต้องทำ] ใน [เวลา] ที่ [สถานที่] หรือไม่ ?

สุดท้าย แสดงคำถามนั้นไว้ในจุดที่เราเห็นมันได้อย่างชัดเจนเท่านี้ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย

📌📌 เมื่อเราใช้ใบงานแล้ว เราจะได้รับรู้ ถึงความตั้งใจแรกของเรา และกลายเป็นแรงที่ทำให้เราอยากทำมากขึ้น

🧡 เทคนิคนี้อาจจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ แต่น้องๆ อย่าลืมว่า ตัวเรานั้น ยังต้องฝึกฝน #การควบคุมตนเอง เพื่อที่เราจะสามารถควบคุมความสำเร็จในอนาคตของเราได้นั่นเอง

“อยากเห็นน้องๆ ใช้ Roadmap มุ่งสู่เป้าหมายตั้งแต่วันนี้”

ตัวอย่างของพี่ 😛

#แจกใบงาน สำหรับน้องๆ ที่ต้องการ “การลงมือทำ” เพื่อ “ไปสู่เป้าหมาย” Read More »

6 ทริคที่ต้องรู้ก่อนสอบ TCAS65 สไตล์พี่ฟาร์ม

  1. เปิดใช้สกิล “ประเมิน” สกัดหาข้อที่ทำได้ก่อน

อ่านคำถามไล่ไปในแต่ละข้อ คอย “ประเมิน” ว่าข้อนี้เราน่าจะทำได้จนได้คำตอบสุดท้ายไหม ถ้าคิดว่าไม่ไหว ทำเครื่องหมายไว้แล้วข้ามไปข้อต่อไปเลยทันที เมื่อถึงข้อใหม่แล้วก็ให้ “ประเมิน” เหมือนเดิม หากเจอข้อที่คิดว่าโกยคะแนนได้ อาจจะไม่ยาก หรือยากแต่เราเตรียมมาตรงแนว หรือเฉียดๆ แล้วนึกประยุกต์ได้ ก็ให้ลงมือทำทันที 

  1. ทำยังไงเมื่อติด “สตั๊นท์” 

บางข้อ เราตัดสินใจทำแล้ว แต่พอทำๆ ไป ติดสตันท์ ไปต่อไม่ได้ ให้พยายามอีกสัก 1-2 try (ห้ามนาน) ถ้ายังติดอยู่ ให้รีบ “ข้าม” ข้อนั้น ไปหาข้อต่อไปทันที ถ้าเจอข้อที่ยังไงก็ทำไม่ได้แน่ๆ แบบว่าเจอแล้วฉันนี่ร้องกรี๊ดเลย (ขอเรียกว่าข้อบ้ง) ให้ทำเครื่องหมายพิเศษไว้ด้วย

  1. วนรอบสอง หา “ปลาใหม่”

เมื่อวนทำข้อที่ทำได้จนหมด ค่อยมาเริ่มแกะข้อที่เราติดเอาไว้จากการวนรอบแรก เราจะเจอบางข้อที่แกะได้ แต่ใช้เวลากับมันเยอะหน่อย ก็มาจัดการกับข้อสอบกลุ่มนี้ ข้อไหนบ้งหนักๆ ข้ามไปก่อนเลยนะ จะเก็บแต้มได้มากขึ้นก็จากรอบนี้แหละ

  1. ดอนท์ แพนิค กับข้อบ้งทั้งหลาย

พึงระลึกว่า ข้อสอบบางข้อก็ยากแบบทดสอบหาตัวแทนโอลิมปิคดาวอังคาร อุเบกขาค่ะท่องไว้ คือช่างมัน เราเก็บส่วนที่เก็บได้แล้วเอาส่วนนี้ให้แม่น เราซ้อมมาดีแล้ว ท่องไว้ ท่องไว้ ไอ แฮฟ สติ !

  1. กันเวลาไว้สำหรับการตรวจคำตอบ

ข้อที่ทำได้ทั้งหมดทุกข้อ ควรเอามา “ผ่านตา” เพื่อทวนสอบความถูกต้องอีกครั้ง โดยเฉพาะฟิสิกส์ เราต้องเช็คว่าคำตอบเราเป็นไปได้จริง ไม่ขัดแย้งธรรมชาติ หรือไม่ละเมิดเงื่อนไขบังคับที่โจทย์สั่งไว้

  1. บริหารเวลาด้วยสัญชาตญาณที่ได้มาจากการฝึก

ก่อนเข้าห้องสอบ เราจะพอทราบว่าข้อสอบมีกี่ข้อ ให้เวลาเท่าไร ทำให้เราพอกะได้ว่าเราควรใช้เวลาแต่ละข้อประมาณไหน แต่ไม่ต้องคุมเวลาในทุกๆ ข้อนะ เวอร์ไป พี่คิดว่าเรากะคร่าวๆ เช่น ข้อสอบมี 30 ข้อ เวลา 90 นาที หมายถึงถ้าเวลาผ่านไป 1 ใน 3 เราก็ควรทำข้อสอบผ่านไปได้ประมาณ 10 ข้อแล้ว ก็เงยหน้าดูนาฬิกาเป็นพักๆ เอา ซึ่งสกิลนี้จริงๆ อยากให้ฝึกตั้งแต่ตอนหัดทำข้อสอบจับเวลาไว้เลย เราจะมีสัญชาตญานดูเวลาติดตัว ส่วนใหญ่ถ้าเรารู้จักเลือกทำข้อง่ายก่อน แล้วค่อยมาเก็บข้อยาก สายตาเราจะผ่านข้อสอบแทบทุกข้อทันอยู่แล้ว และเราจะประเมินได้ว่าข้อไหนควรเก็บควรข้ามเพื่อให้อย่างน้อยๆ คือ ข้อที่เราทำได้ เราทำมันได้ทันทุกข้อ เหลือแต่ข้อที่ทำไม่ได้ไว้แบบนี้ นิดหน่อย คะแนนสวยแน่ๆ


คอร์สที่คุณอาจจะสนใจ

6 ทริคที่ต้องรู้ก่อนสอบ TCAS65 สไตล์พี่ฟาร์ม Read More »

อยู่ ม.4 เรียนฟิสิกส์จะได้เจอกับอะไรบ้าง (ตามหลักสูตรใหม่ปรับปรุง พ.ศ. 2560)

บทความนี้เป็นการสรุปจาก คลิปวีดีโอแนะนำหลักสูตรใหม่ใน Fanpage: เรียนฟิสิกส์กับครูพี่ฟาร์ม PFarmmie ไปติดตามฟังตัวเต็มๆ กันได้น้า

ม.4 เทอม 1 เรียนอะไรบ้าง?

เทอมแรกเป็นสบายๆ เบาๆ เนื่องจากน้องๆ เพิ่งก้าวจากรั้ว ม.ต้น สู่ ม.ปลาย เพื่อให้นักเรียนปรับตัวง่าย หลักสูตรจึงออกแบบให้เรียนเพียง 3 บทเท่านั้น

บทแรกคือ “บทนำและธรรมชาติในวิชาฟิสิกส์” เป็นแนวเรื่องเล่าพัฒนาการวิชาฟิสิกส์ จาก “การสังเกตธรรมชาติ” สู่ “ศาสตร์” เก๋ๆ

ถ้าคนสอนเล่าสนุก และคนเรียนเปิดใจ รับรองว่า happy กันทั้งสองฝ่ายเลย ^-^

บทนำจะเป็นการ set “มาตรฐาน” ในการศึกษาวิชาฟิสิกส์ เช่น การใช้ข้อมูล การรายงานผล หน่วยต่างๆ เพื่อปรับภาษา ให้ทุกคนเป็น “ฟิสิกส์” เดียวกันคิดซะว่าเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ ก็ได้

รากฐานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราคุ้นเคยแล้ว อีกหน่อยจะหยิบใช้ด่วนๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องง่าย

เนื้อหาในฟิสิกส์จริงๆ สำหรับพี่เริ่มที่บทที่ 2 ชื่อบทการเคลื่อนที่ในแนวตรง เป็นบทเรียนในกลุ่ม “กลศาสตร์” จะประกอบด้วยบทย่อยๆ หลายบท เพื่อให้เราเกทปริมาณพื้นฐานต่างๆ ในวิชาฟิสิกส์มากขึ้น เอาไว้ต่อยอดบทที่เหลือ จากนั้น จะได้เรียนกฎนิวตัน – ความมหัศจรรย์จากลูกแอปเปิ้ลที่หล่นลงมาเขย่าโลก

ทั้ง 3 บทนี้ ถ้ามองจากเด็กใกล้เตรียมสอบเข้าทุกคนจะบอกได้ว่า “มันไม่หนักเลย” แต่ในก้าวแรกที่นักเรียน ม.4 ได้เรียน จะบอกว่า “ยาก” ก็ไม่แปลก

ทุกคนต้องค่อยๆ เติบโตนะจ้ะ 🙂

ม.4 เทอม 2 เรียนอะไร

พอเริ่มตั้งไข่จากเทอม 1 ได้แล้ว เทอม 2 ต้องเร่งสปีด เก็บ 4 บทได้แก่ สมดุลกล งานพลังงาน โมเมนตัม และการเคลื่อนที่วิถีโค้ง (ซึ่งเป็นเรื่อง advanced ต่อจากแนวตรง)

ปัญหาของเทอมนี้คือ “เรียนไม่ทัน” เพราะกิจกรรมเยอะ กีฬาสีก็มาแล้ว ดังนั้นให้ระวังความแน่นของเนื้อหาดีๆ นะจ้ะ

จุดสำคัญมว้ากกกคือ

ถ้าตอนเทอม 1 เรียนรู้เรื่องมาแล้ว เทอม 2 จะชิวมากกกกก เพราะเค้าตั้งใจออกแบบเนื้อหาเทอม 2  ให้ต่อยอดจากเทอม 1 อยู่แล้ว

เรื่องน่ารู้: หลักสูตรเก่าจะมีเนื้อหา “การหมุน” อยู่ในเทอม 2 ด้วย ถ้าปัจจุบันนี้ (ปี 2563) เราเจอหนังสือเรียนที่มีการหมุน ก็ให้ข้ามไปเลย

เหตุผลที่กระทรวงตัดออก เพราะการหมุน อาศัยความรู้คณิตศาสตร์ขั้นสูงนิดนึง เช่น การ integrate การ diff พวกนี้ ซึ่งบางโรงเรียนก็ยังมาไม่ถึง ต่อให้ถึงแล้วก็เรียกว่ายากอยู่ดี จึงตัดออก ให้ไปเรียนในมหาวิทยาลัยแทน

เลือกลงเรียนยังไงดี?

ข้อแรก ให้น้องๆ เช็กบทเรียนของคอร์สนั้นๆ ว่าตรงตามหลักสูตรของกระทรวงหรือไม่ เเป็นตัวตั้ง 🙂 เพราะไหนๆ ลงทุนเรียนทั้งที เพื่อให้เงิน + เวลาของเราคุ้มค่าที่สุด อย่าลืมลองถามผู้สอนหรือสถาบันว่าเป็นหลักสูตรที่อัพเดทที่สุด เหมาะสำหรับการเรียนแล้วหรือไม่

ข้อสอง อันนี้พิเศษมั่กๆ สำหรับชั้นมัธยม 4 คือ พี่อยากให้เรามองหาที่เรียนที่ให้ “ความสุข” กะเราด้วย เพราะความสุข ช่วยให้น้องๆ เรียนเข้าใจ จดจำง่าย แถมจำไม่ลืมอีกตะหาก ลองมองหาคุณครูหรือติวเตอร์ที่น้องถูกใจและให้ความสุข

ขอแนะนำอีกสักนิด คอร์สของพี่ฟาร์มเอา ตามไปดูได้เลย

อยู่ ม.4 เรียนฟิสิกส์จะได้เจอกับอะไรบ้าง (ตามหลักสูตรใหม่ปรับปรุง พ.ศ. 2560) Read More »

4 เหตุผลที่ผู้ชายดูเก่งฟิสิกส์กว่าผู้หญิง

ใครรู้สึกบ้างว่า “ผู้ชาย” เก่งฟิสิกส์ “กว่าผู้หญิง” คิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ?
ที่แน่ๆ ยิ่งเชื่อกันมาก ก็ยิ่งปิดกั้นโอกาสของผู้หญิงจากวิชาฟิสิกส์นะ

โลกเราเชื่อแบบนี้มาแต่ยุคโบราณเลย จนกระทั่งเมื่อราว 50 ปีก่อน โลก “เบนกระแส” และเห็นคุณค่าต่อความสามารถผู้หญิงมากขึ้น นักวิจัยจึงพยายามสืบว่า “จริงหรือไม่” ที่ผู้ชายได้คะแนนดีกว่าผู้หญิง? นักการศึกษาและนักจิตวิทยาการเรียนรู้ทำงานวิจัยหลายสิบปี จนได้ข้อสรุปว่า ชายและหญิงไม่มีความแตกต่างกันเรื่องความปราดเปรื่องวิชาฟิสิกส์ ทั้งคะแนนเวลาเรียน คะแนนสอบเข้า ตำแหน่งงานสูงสุดทางฟิสิกส์ที่ผู้หญิงเป็นได้ …

ถ้าอย่างนั้น
อะไรหนอยังทำให้เรามองว่า
ผู้หญิงไม่เก่งฟิสิกส์เท่าผู้ชาย
พี่รวบรวมมาได้ 4 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. เราเห็นผู้หญิงทำอาชีพทางฟิสิกส์น้อย

อาชีพทางวิทยาศาสตร์หรือฟิสิกส์ของผู้หญิงยังมีน้อยไปจริงๆ นักเรียน ม.ปลาย หลายคนจึงไม่ได้เลือกเรียนต่อในสาขาวิชานี้ เพราะตัวอาชีพที่เอาความรู้ฟิสิกส์ไปใช้ตรงๆ ยังถูกเป็นงานอุตสาหกรรม โรงงาน หรืองานอวกาศ ที่ยังต้องใช้ความแข็งแรงของร่างกายเพื่อทำงานด้วย

อย่างไรก็ตาม จำข่าวดังเรื่องการถ่ายภาพ Blackhole สำเร็จเมื่อเมษายนที่ผ่านมาได้ไหม ผู้ค้นพบคือ Katie Bouman (ในรูป) และเธอเป็นผู้หญิงนะจ๊ะ ในอนาคตโลกของเราต้องการบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และฟิสิกส์มากกว่านี้แน่นอน เชื่อสิ

2. ผู้หญิงได้คะแนนสอบน้อยกว่า (แต่สาเหตุมาจากอาจารย์…)

เรื่องนี้มีคำอธิบาย ยาวนิดนึงนะ

  • มองเรื่องนี้ให้เป็นวัฎจักรก่อน จากข้อข้างบน ที่ว่าผู้หญิงมาทางสายฟิสิกส์น้อย ดังนั้นเราจึงได้ครูสอนฟิสิกส์ชายกันมา
  • โดยธรรมชาติ ครูผู้ชายจะให้ความสนใจกับนักเรียนชายมากกว่า (เพราะพูดภาษาเดียวกันเป็นส่วนใหญ่)
  • นักเรียนชาย… จึงเกิดการเรียนรู้ที่ “ดีกว่า”  คะแนนนักเรียนชายเลยดีกว่า

อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยเชิงกึ่งทดลองพบว่า ในห้องเรียนที่ครูสามารถแบ่งความสนใจ ถามตอบนักเรียนชาย-หญิงได้เท่าๆ กัน คะแนนของผู้หญิงก็ดีขึ้นผิดหูผิดตาเลย นอกจากนี้ ยังมีอีกการทดลอง “แยกเพศ” ในการเรียนฟิสิกส์ เพื่อเทียบความสามารถกันตรงๆ เลย คือแบ่งห้องหญิงล้วน ชายล้วน เลือกเอาเด็กที่เก่งพอๆ กันตั้งแต่แรก เรียนเหมือนกันทุกอย่าง พอพ้นเทอมเอาคะแนนสองห้องมาเทียบกัน ปรากฎว่าห้องผู้หญิงไม่แพ้จ้า

เพราะฉะนั้น ผู้หญิงก็ทำคะแนนได้ดีนะ ถ้าตั้งใจจริงต้องทำได้แน่

3. นักเรียนหญิงลังเลที่จะมีส่วนร่วมในชั้นเรียน เพราะ… “มันแมนไป”

นี่ก็แปลกแต่จริง อาจเพราะด้วยมีแต่ผู้ชายเรียนฟิสิกส์ ฟิสิกส์เลยถูกมองว่าเป็นวิชาของผู้ชาย! เรียกได้ว่าเป็น Sterotype ของวิชาไปซะงั้น

(คนจะชอบพูดกันว่าว่าผู้ชายเก่งวิทย์ ผู้หญิงเก่งไทยสังคม…) ดังนั้น เมื่อวิชาความรู้ที่ควรเป็น “สากล” กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นชาย ผู้หญิงที่ยกมือตอบก็จะดูเปรี้ยวๆ แมนๆ หน่อย นักเรียนชายจึงดูโดดเด่นมากกว่า

ทั้งนี้ มีงานวิจัยพบว่า ในวิชาฟิสิกส์นักเรียนหญิงยกมือตอบอาจารย์ในห้องน้อยกว่านักเรียนชาย หรือเวลาสงสัยก็ไม่ถาม จึงทำให้ได้คะแนนออกมาน้อยกว่านั่นเอง ทั้งที่จริง เป็นผู้หญิงเรียนวิทยาศาสตร์หรือฟิสิกส์แล้วช่างซักถาม หรือมีส่วนร่วม (แบบพี่เฌอ) ก็ดูเท่ไม่หยอกน้า

4. นักเรียนชายดูได้ใช้ความรู้ฟิสิกส์ในชีวิตประจำมากกว่า

กิจกรรมของนักเรียนชายและนักเรียนหญิงส่วนใหญ่ต่างกัน ผู้ชายคลุกคลีกับเกมความเร็ว ความแรง การปีนป่าย ถูกฝึกให้สังเกตความเปลี่ยนแปลงง่ายๆ รอบตัว แถมได้ใช้เครื่องมือกลไกมากกว่าเด็กหญิง

สิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้เด็กชายโตขึ้นมาเข้าใจคอนเซปท์ของฟิสิกส์ได้เร็วกว่าเด็กหญิง เพราะมี “ความมั่นใจ” ที่ติดตัวมาทำให้กล้ากระโจนเรียนรู้ทันที (ไม่ได้เกี่ยวกับว่าสมองดีกว่าแต่อย่างใด)


จะเห็นได้ว่าทั้ง 4 สาเหตุนี้ทำให้นักเรียนชายดูเก่งกว่า ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป

เพราะไม่ว่าจะเพศอะไร หากน้องมีเป้าหมาย “อยากทำคะแนนฟิสิกส์ให้ดี” เพื่อคณะหรือตัวเลือกที่ต้องการ ก่อนอื่น ต้องเริ่มจูนที่ความคิดก่อน ว่า ฟิสิกส์ไม่ใช่วิชาของผู้ชายนะ แต่เป็นวิชาของทุกคน 

นอกจากนี้ ลองฝึกมองเรื่องรอบตัวด้วยมุมมองของฟิสิกส์มากขึ้น เห็นน้ำเดือดคิดถึงอุณหภูมิ เห็นพัดลมเป่าคิดถึงเรื่องการไหล จะยกของหนักๆ อะไรคิดถึงนิวตัน แบบนี้จะทำให้เราได้ทบทวนไปในตัว

สุดท้ายนี้ การมีส่วนร่วมในห้องเรียนสำคัญมาก ถ้าไม่กล้ายกมือตอบคุณครู แอบตอบไปในใจ ก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

แหล่งที่มา

  • Hoffmann, L. (2002). Promoting girls’ interest and achievement in physics classes for beginners. Learning and Instruction, 12(4), 447e465.
  • Kessels, U. (2005). Fitting into the stereotype: how gender-stereotyped perceptions of prototypic peers relate to liking for school subjects. European Journal of Psychology of Education, 20(3), 309e323. 


4 เหตุผลที่ผู้ชายดูเก่งฟิสิกส์กว่าผู้หญิง Read More »

10 เคล็ดลับสำหรับการเรียนฟิสิกส์ฟาร์มออนไลน์

ข้อดีอันดับ 1 ของการเรียนคอร์สออนไลน์ เห็นทีจะเป็นเรื่อง “ความสะดวกสบาย” เนื่องจากล็อกอินเข้าเรียนจากที่ไหน-เมื่อไหร่ก็ได้ 

การเรียนออนไลน์ ต้องใช้ทักษะการจัดการเวลา รวมถึงการมีวินัยต่อตนเองในระดับหนึ่ง ยังไม่รวมถึงพลังใจและความมุ่งมั่นของผู้เรียนเอง จึงจะเรียนจบคอร์สและได้ผลลัพธ์ปังๆ วิธีจะมีอะไรบ้างนั้น…​มาดูกันเลย!

  1. ทำความเข้าใจ “วิธีการเรียน” และ  “สิ่งที่ต้องทำ” 

    อยากให้เริ่มต้นจากการศึกษา วิธีการใช้คอร์สเรียน และเรียนอย่างเป็นลำดับแบบแผนตามโปรแกรมที่พี่ฟาร์มวางเอาไว้ จะประหยัดเวลาและเข้าใจสุดๆ เมื่อเรียนครบแล้วลองทำแบบฝึกหัด Workshop หรือข้อสอบเก็งตามที่พี่ฟาร์มจัดเตรียมไว้ให้ต่อเลย

  2. ปรับความละเอียดของภาพตามกำลังอินเตอร์เน็ต

    เพื่อประสบการณ์การเรียนที่ดี คลิปของพี่ฟาร์มตั้งความละเอียดสูงสุดอยู่ที่ 720p (และจะอัพเป็น 1080p เร็วๆนี้) คงเซ็งน่าดูถ้าเรามีลูกฮึดตั้งใจเรียนขึ้นมา แต่อินเตอร์เน็ทมางอแง ภาพกระตุกซะได้! หากน้องๆ พบเจอปัญหาแบบนั้น อยากให้ลองปรับความละเอียดลงมาเป็น 540p ดู หรือถ้าจะลงทุนอัพเกรดสัญญาณอินเตอร์เน็ทให้แรงขึ้นก็ไม่ว่า

  3. สร้างพื้นที่การเรียนโดยเฉพาะ (How to สร้างพื้นที่การเรียน)

    พื้นที่การเรียน จะเป็นที่ไหนก็ได้ ขอให้ที่ตรงนั้น “เงียบสงบ” สำหรับเรา ไม่มีสิ่งรบกวนจิตใจ และเราสามารถใช้พื้นที่ตรงนั้นได้โดยสะดวก ควรตัดสิ่งรบกวนเช่น Social Media ออกเพื่อลดการรบกวน ยังไงขอฝาก >> วิธีจัดการปิด Social Media ขณะเรียนออนไลน์

  4. ตั้งจุดประสงค์และเป้าหมายในการเรียน

    เพื่อให้เรียนได้ตลอดรอดฝั่ง ควรทบทวนกับตนเองเป็นระยะ ว่ากำลังเรียนอะไร และเรียนไปเพื่อจุดประสงค์อะไร 

    เช่น คอร์ส Physics Slayer (ฟิสิกส์สอบเข้ามหาวิทยาลัย) เราเรียนอย่างมีจุดประสงค์ คือเพื่อให้ทำข้อสอบวิชาสามัญในส่วนวิชาฟิสิกส์ได้คะแนนสูงๆ เป้าหมายใหญ่คือเพื่อสอบเข้าแพทย์ เป็นต้น

  5. สร้างแผนการเรียนขึ้นมา

    น้องรู้อยู่แล้วว่าแต่ละคอร์สเรียนฟิสิกส์ของพี่ฟาร์ม ใช้เวลากี่ชั่วโมง ดังนั้น กางปฏิทินแล้วกาจำนวนสัปดาห์ไว้เลย เลือกเวลาสำหรับเรียนให้ตนเอง

    เช่น ฉันจะเรียน คอร์ส Physics Slayer (ฟิสิกส์สอบเข้ามหาวิทยาลัย)  ทุกวันพุธและเสาร์ 20:30 

    ก็ตั้งปลุกในมือถือไว้ ว่าจะมานั่งที่เก้าอี้ตัวนี้ๆ เพื่อเข้าเรียนฟิสิกส์ แล้วยึดตามแผนนั้น หากมีเหตุจำเป็นต้องเว้นไป ขอให้ไม่เกิน 2 วันหมั่นเอาแผนกลับมาทบทวน และปรับให้เหมาะสมกับตนเอง เรื่องนี้คิดง่ายทำยาก แต่หากลองทำไปสักหนึ่งเดือนจะพบว่าชีวิตเปลี่ยนเลย

  6. ขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ

    ถึงจะเป็นการเรียนออนไลน์ แต่พี่ฟาร์มก็ออกแบบคอร์สไว้ให้นักเรียนสอบถามพี่ฟาร์มได้ โดยเฉพาะคอร์สเข้ามหาวิทยาลัยอย่าง คอร์ส Physics Slayer   จะมี Group ให้ตั้งคำถาม ระดมคำตอบ หรือจะ tag เพื่อถามพี่ฟาร์มโดยเฉพาะก็ย่อมได้

    ไม่มีคำถามไหนดูแย่เกินไป ทุกคนมีสิทธิ์ถาม และด้วยความเป็น Group ของนักเรียนกันเองอยู่แล้ว น้องสามารถถามเพื่อนๆ ในคอร์สที่เรียนมาถึงจุดเดียวกันแล้วได้ด้วยซ้ำ 

  7. ทบทวน ทบทวน และทบทวน

    พี่ฟาร์มสรุปเนื้อหาเป็น Edugraphic ให้แล้ว แต่น้องจะทำสอบไม่ได้เลยถ้าไม่ทบทวน! จะทำเป็น Flash Card นิยาม คอนเซปท์ พกติดตัวไว้ หรือจะย่อความรู้จาก Edugraphic อีกทีก็ได้ นอกจากนี้ การชวนเพื่อนมาเรียนด้วยกัน ก็เป็นประโยชน์ต่อน้อง คือนอกจากได้ส่วนลดค่าเรียนไปตั้งแต่ตอนสมัคร สิ่งที่ดีกว่านั้นคือน้องจะมีบัดดี้คอยช่วยกันติว ช่วยกันทบทวนอีกด้วย

  8. หาช่วงเวลาพักอย่างมีคุณภาพ

    สังเกตไหมว่าเมื่อไหร่ที่เราหงุดหงิดหรือเหนื่อยอยู่ เราจะเรียนไม่รู้เรื่องเลย อาจจะต้องอ่านบรรทัดเดิมซ้ำๆ หรือย้อนฟังคลิปสองสามรอบ ถ้าเป็นแบบนั้นสู้พักสมองพักสายตาสักหน่อยดีกว่า

    รู้หรือไม่การ “พักอย่างจงใจ” เป็นผลดีต่ออารมณ์และสมอง ดีกว่าปล่อยให้เหนื่อยล้าจน “พักอย่างเผลอไผล”

    การไถฟีด facebook หรือ twitter ไปงั้นๆ โดยไม่มีจุดมุ่งหมายอะไร ทำให้สมองเหนื่อยล้า ยังไง ลองลุกขึ้น เดินไปกินน้ำ มองดูสิ่งที่ชอบ หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยงสักพัก ปรับจูนสมาธิและพลังใจกลับมาค่อยมาไฟต์กับการเรียนต่อจะดีที่สุด

  9. เข้าร่วม Workshop และกิจกรรมต่างๆ ในคอร์ส

    คอร์สออนไลน์ของพี่ฟาร์ม ไม่ได้เป็นแค่คลิปสอนให้น้องเปิดดูแล้วเรียนไปเรื่อยๆ เท่านั้น ยังมีกิจกรรม Workshop ติวเสริมทำข้อสอบอัพเดท ให้ได้ประลองฝีมือก่อนไปสนามจริงด้วย ใน Workshop จะทำการจับเวลาจริง และทำข้อสอบจริง เมื่อทำเสร็จแล้วน้องจะได้รับฟีดแบคคะแนนของตนเอง ซึ่งตามมาด้วยการดูเฉลยต่อใน Group ในกระบวนการเหล่านี้ น้องสามารถพูดคุย ถกเถียง รวมถึงถามตอบกับกลุ่มได้อย่างเต็มที่

  10. เติมพลังใจให้ตนเองอยู่เสมอ

    อย่ามองข้าม “พลังของใจ” พี่ฟาร์มมีนักเรียนหลายคนที่เก่งมาแต่เดิม พื้นฐานดี แต่ใจหดหู่เมื่อใกล้สอบ เมื่อถึงเวลาสำคัญจึงพลาดการทบทวนและทำไม่ได้เท่าที่หวัง การหมั่นเติมพลังใจและทบทวนเป้าหมายสำคัญของตนเองอยู่เสมอ จะทำให้เราประคองตนเองในการเรียนและการสอบเข้าได้

อย่างไรก็ตาม การเรียนออนไลน์ให้ได้ผลลัพธ์ครบถ้วนตามที่ผู้สอนวางคอร์สไว้ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะยิ่งสะดวกสบายมากเท่าไหร่ เราอาจจะเผลอ “อ่อนข้อ” ให้ตัวเองเรียนแบบ “สบายๆ” เกินไป จนหลุดจากโปรแกรมที่คอร์สเรียนวางไว้ง่ายขึ้นเท่านั้น

หากหมดพลังใจไปบ้าง ไม่ต้องกังวล กลับมาพูดคุยกับพี่ฟาร์มหรือกลุ่มเพื่อนๆในคอร์สสิ เปิดใจรับพลังบวกกลับไปแบบฟรีๆ ได้เลย 🙂  เพราะเราไม่ได้แค่มาเรียนเพื่อสอบเข้าเท่านั้น เรากำลังมุ่งมั่นทำความฝันเดียวกันให้สำเร็จตะหาก

10 เคล็ดลับสำหรับการเรียนฟิสิกส์ฟาร์มออนไลน์ Read More »

เรียนฟิสิกส์อย่างเข้าใจ ครบครัน คุ้มค่าที่สุด เริ่มที่ ม.5 ได้เลย #Physics Slayer (Click เพื่อรับส่วนลดเดือนนี้)

X